มส.ปลื้ม!พระสังฆาธิการแห่เรียนนิติศาสตร์เพียบ
เมื่อเวลา 10.00 น. วันพุธที่ 21 มิถุนายน 2560 พระพรหมบัณฑิต (ป.ธ.9, ศ.,ดร.,ราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์, อัคคมหาบัณฑิต) กรรมการมหาเถรสมาคม อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) เจ้าคณะภาค 2 เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร แสดงปาฐกถาในหัวข้อว่า “สงฆ์กับการครองตนในยุคไทยแลนด์ 4.0” ในการสัมมนาเรื่องกฎหมายใกล้สงฆ์ จัดโดยสมาคมบัณฑิตทางกฎหมายและพุทธศาสตร์ สนับสนุนโดยนายธนาชัย ธีรพัฒนวงศ์ ประธานกรรมการกิตติมศักดิ์บริษัทสปริงนิวส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ณ หอประชุม มวก. 48 พรรษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีผู้เข้าร่วมประมาณ 500 รูป/คน
ในการนี้พระพรหมบัณฑิต ได้กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันมีเหตุการณ์รุกเร้าให้พระสงฆ์มีความจำเป็นต้องศึกษากฎหมายมากขึ้น ประกอบกับคณะสังคมศาสตร์ มจร เปิดหลักสูตรปริญญาตรีนิติศาสตร์ จึงทำให้มีพระสังฆาธิการเข้ามาศึกษาเป็นจำนวนมาก โดยกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์นั้นมี 3 ลักษณะคือกฎหมายบ้านเมือง จารีตและพระธรรมวินัย
“ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชนั้นมีเหตุการณ์การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่กับพระสงฆ์โดยพระองค์รับสั่งให้ดูแลพระสงฆ์ และได้พบว่าพระสงฆ์ทำผิดกฎหมายบ้านเมืองแต่พระสงฆ์มองว่าไม่ผิดพระธรรมวินัย จึงมีการสังหารพระสงฆ์เป็นจำนวนมาก จนกระทั้งถึงคราวพระอนุชาที่บวชเป็นพระ แต่เจ้าหน้าที่ไม่กล้าที่จะสังหารจึงทำให้ครั้งนั้นการปรองดองล้มเหลว และไปกราบทูลพระเจ้าอโศกมหาราชให้ทรงทราบ พระองค์ตรัสว่าเราไม่ได้สั่งให้ไปฆ่าพระแต่ให้ไปดูแลพระ แล้วทรงให้ไปปรึกษาพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ จึงเป็นแนวทางปฏิบัติจนถึงปัจจุบันว่าการดูแลพระสงฆ์นั้นบ้านเมืองจะต้องปรึกษาคณะสงฆ์หันหน้าเข้าหากัน ดังนั้น ยุคไทยแลนด์ 4.0 จะสำเร็จหรือไม่นั้นต้องดูที่การมีส่วนร่วม” พระพรหมบัณฑิตกล่าวและว่า
ประเทศไทยมีความต้องการที่จะยกระดับให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วหรือไทยแลนด์ 4.0 โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ แต่ก็เป็นการยกแบบตามใจฉัน โดยที่ประเทศอื่นไม่รู้เรื่องด้วย ประกอบกับปัจจุบันนี้ฐานการผลิตนั้นประเทศไทยเป็นเพียงมือปืนรับจ้างของต่างประเทศไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการอย่างแท้จริง ดังนั้น ไทยแลนด์ 4.0 จึงเป็นเพียงความฝันอยู่ ประกอบกับสังคมไทยมีลักษระเห็นแก่หน้าตา เล่นพรรคเล่นพรรคจึงมีปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นมากมาย ดังนั้น การจะปรองดองต้องตั้งอยู่บนฐานของความยุติธรรมโปร่งใส ชัดเจน ไม่สะเปะสะปะมีมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้วก็มีลักษณะอย่างนี้ดูประเทศสิงคโปร์เป็นตัวอย่าง
กรรมการมหาเถรสมาคมผู้นี้ กล่าวว่า สำหรับมาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องคณะสงฆ์นั้นมี 2 ด้านคือกฎหมายและการบริหาร ซึ่งพบว่ามีกฎหมาย กฎระเบียบ และพระวินัยมากมายจึงทำให้การทำงานเชิงรุกลำบาก พระสงฆ์ที่เป็นพระสังฆาธิการนั้นถือว่าเป็นเจ้าพนักงานของรัฐเมื่อทำงผิดก็มีสิทธิติดคุกตลอดชีวิตเช่นเดียวกัน แต่เพราะพระสงฆ์มีความเสียสละจึงไม่มีความกังวล ปัจจุบันนี้ มส. จึงมีแผนปฏิรูปคณะสงฆ์เรียบร้อยแล้ว มีแผน ขั้นตอน กลยุทธ ยุทธศาสตร์ และโครงการรองรับเรียบร้อยและตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดำเนินการแบ่ง 7 ฝ่ายด้วยกัน
“คณะสงฆ์ที่ความต้องการที่จะช่วยเหลือบ้านเมืองเป็นฐานเดิมอยู่แล้ว เพราะพระก็รักประเทศชาติและต้องการให้ประเทศชาติประสบผลสำเร็จเหมือนกัน ดังนั้น การจะดำเนินการอะไรควรที่จะสร้างความไว้วางใจลดความหวาดระแวงกัน อย่างเช่นเรื่องทรัพย์สินวัดนั้นไม่ใช่พระไม่ต้องการให้มีการตรวจสอบ เป็นแต่เพียงว่าท่านไม่มีความไว้วางใจ บวกกับมีกระแสข่าวรัฐบาลถังแตก ดังนั้นการจำทำอะไรต้องมาคุยกับพระ อย่างคุยผ่านสื่อ แล้วดึงทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมตามหลักธรรมาภิบาล” พระพรหมบัณฑิต กล่าว
ขณะที่นายพงษ์ชัย นิรมิตศรีขัย ที่ปรึกษานายออมสิน ชีวะพฤกษ์ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า สังคมไทยปัจจุบันพระสงฆ์กับฆราวาสไม่ได้แยกกัน ดังนั้น พระจำเป็นจะต้องรู้และติดตามสถานการณ์บ้านต้องแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ซึ่งรัฐบาลมีแนวทางในการใช้สันติวิธีในการคุ้มครองพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นฐานของการสร้างสันติภาพโลก
“นายออมสินก็ไม่เคยระบุจะแก้ไขกฎหมายคณะสงฆ์เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินของวัดตามที่มีข่าวลือโดยรวมรวมบัญชีเข้าด้วยกันนั้นไม่เป็นความจริง เป็นแต่เพียงต้องการที่จะให้มีการเข้มงวดให้การใช้กฎหมายเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและการบริหารทรัพย์สินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการที่พระสงฆได้เข้ามารับการอบรมกฎหมายใกล้สงฆ์เป็นจำนวนมากเช่นนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีและจะมีการจัดเช่นนี้อีก 9 ครั้งทั่วประเทศ” ที่ปรึกษานายออมสิน กล่าว